วันอาทิตย์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

ความร่วมมือด้านการค้าของไทย และ สรุปเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นภายในต้นปี 2018

ความร่วมมือด้านการค้าระหว่างประเทศของไทย

  • เขตการค้าเสรีอาเซียน (ASEAN Free Trade Area : AFTA)                 
          เป็นข้อตกลงทางการค้า เพื่อการเปิดเสรีด้านการค้าและการลดภาษีและอุปสรรคข้อกีดขวางทางการค้า รวมทั้งการปรับเปลี่ยนโครงสร้างภาษีศุลกากรเพื่อเอื้ออำนวยต่อการค้าเสรี ประกอบด้วย สมาชิก 10 ประเทศอาเซียน : กัมพูชา ไทย บรูไน พม่า ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย ลาว เวียดนาม สิงคโปร์ อินโดนีเซีย
และแบ่งย่อยเป็นกลุ่มความร่วมมือ ได้แก่
1.      กลุ่มอาเซียน +3 : กลุ่มปรเทศสมาชิกอาเซียน 10 ประเทศ + 3 ประเทศคู่เจรจา : จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้
2.      กลุ่มอาเซียน + 6 : อาเซียนบวก3 + นิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย อินเดีย
3.      กลุ่มอาเซียน + 9 : กลุ่มอาเซียนบวก6 + สหรัฐฯ แคนาดา รัสเซีย

  • ความร่วมมือทางเศรษฐกิจ เอเชีย-แปซิฟิก (APEC)
กลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจ ระหว่างเขตเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ก่อตั้ง 1989 ที่ทำการ สิงคโปร์ ประกอบด้วย 21 เขตเศรษฐกิจ (19ประเทศ 2 เขตเศรษฐกิจ): สหรัฐฯ แคนาดา เม็กซิโก ชิลี เปรู จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ รัสเซีย บรูไน ไทย เวียดนาม อินโดนีเซีย มาเลเซีย สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ ปาปัวนิวกินี (ประเทศสังเกตการณ์อาเซียน) ฮ่องกง ไต้หวัน นิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย
การจัดการประชุมล่าสุด
2017 ณ เมืองดานัง เวียดนาม กำลังจะเกิดขึ้นในปี 2018 ณ ปาปัวนิวกินี และ 2019 ณ ชิลี

  • ความตกลงพันธมิตรทางการค้าระดับภูมิภาค (RCEP)
            ความร่วมมือระหว่าง ประเทศอาเซียน 10 ประเทศ + ญี่ปุ่น จีน เกาหลีใต้ อินเดีย ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ (หรือที่รู้จักกันในนาม อาเซียน+6) = 16 ประเทศ โดย RCEP ครอบคลุม ทั้งตลาดสินค้า และตลาดการลงทุนโดยการเปิดตลาด ล่าสุด ต้นปี 2017 มีการเจรจาเปิดสินค้า 80%  : สินค้า 65% ปลอดภาษี และอีก 15% จะปลอดภาษีในอีก 10-15ปีข้างหน้า ส่วนอีก 20% ยังอยู่ในการเจรจาเพราะเป็นสินค้าอ่อนไหว และอ่อนไหวสูง
            เมื่อสหรัฐฯถอนตัวออกจาก TPP ญี่ปุ่น ซึ่งเป็นสมาชิกทั้ง TPP และ RCEP ได้เร่งจัดการประชุมคณะกรรมการเจรจาด้านการค้า RCEP  แต่ยังหาข้อสรุปไม่ได้ในเรื่อง การลดภาษีสินค้าระดับสูงกับทุกประเทศเท่ากัน (อาเซียนเห็นพ้อง แต่อีก6ประเทศยังไม่ตกลง)
การเชื่อมอาเซียนเข้ากับเศรษฐกิจโลก : RCEP vs TPP
  • RCEP มีความยืดหยุ่นมากกว่า เพราะเป็นการเรจาในนามอาเซียน ซึ่งต้องใช้หลัก ฉันทามติก่อนที่จะเสนออีก 6 ประเทศ จากนั้นทั้ง 16 ประเทศร่วมเจรจาให้ได้ฉันทามติ จึงไม่มีประเทศใดชี้นำได้ (TPP แต่เดิมสหัฐมีบทบาทมาก)
  • RCEP กำหนดประเทศที่ให้สัตยาบัน จึงมีผลบังคับใช้ ต่างจาก TPP ที่ดู GDP ซึ่งมีค่ากำหนด 85% ของมูลค่า GDP ร่วมของประเทศสมาชิก

นโยบายเศรษฐกิจรัฐบาล พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา
 ไทยแลนด์ 4.0”
  • เป็นนโยบายการวางรากฐานประเทศในระยะยาว โดยเป็นจุดเริ่มต้นการขับเคลื่อนสู่ประเทศที่มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน
  • รูปแบบที่มีการผลักดันการปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจ การวิจัย การพันา และการศึกษาไปพร้อมกัน
  • เป็นการผนึกกำลังของทุกภาคส่วนภายใต้แนวคิด ประชารัฐที่ผนึกกับเครือข่ายพันธมิตรธุรกิจ
  • ขับเคลื่อนประเทศสู่ เศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม (Valued-Based Economy)
ฐานคิดหลัก
  • เปลี่ยนการผลิต โภคภัณฑ์ เป็น นวัตกรรม (ไม่ใช้ปุ๋ย)
  • จากการขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยภาค อุตสาหกรรม เป็น เทคโนโลยี นวัตนกรรม และความคิดสร้างสรรค์
  • จากเน้นภาคผลิต เป็น เน้นภาคบริการ
  • จากเกษตรดั้งเดิม เป็น เกษตรสมัยใหม่ ที่เน้นการจัดการและเทคโนโลยี (Smart Farming) โดยเกษตรกรเป็นผู้ประกอบการ (entrepreneur)
  • จาก SMEs ที่รัฐต้องช่วย เป็น Smart Enterprises และ Startup บริษัทเกิดใหม่ที่มีศักยภาพสูง
  • จากแรงงานทักษะต่ำ เป็น แรงงานทักษะสูง เชี่ยวชาญรับมือกับการเปลี่ยนแปลงใน ศตวรรษที่ 21 ได้
ที่มา 4.0
  • จากเดิม ยุค 1.0 เน้นการเกษตร (สมัยร.4) ผลิตและขาย จำพวกพืชไร่พืชสวน
  • 2.0 เน้นอุตสาหกรรมเบา (สมัยจอมพลสฤษดิ์) : ผลิตรองเท้า เครื่องหนัง เครื่องนุ่งห่ม เครื่องดื่ม
  • 3.0 อุตสหกรรมหนัก + เน้นการส่งออก (สมัยพลเอกเปรม) :เหล็กกล้า ยานยนต์ กลั่นน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ
  ประเทศไทยกับปัญหา กับดักรายได้ประเทศปานกลาง เดินหน้าสู่ 4.0 ! เป็นเศรษฐกิจใหม่ (New Engine of Growth) ที่มีรายได้สูง เป้าภายใน 5 ปี
โดยเป้าพัฒนา 4.0 พัฒนาต่อยอด
1.      กลุ่มอาหารเกษตรเทคโนโลยีชีวภาพ : เทคโนโลยีอาหาร เกษตรที่ไม่ใช้ปุ๋ย
2.      กลุ่มสาธารณะสุข : สปา พัฒนาเทคโนโลยีการแพทย์
3.      กลุ่มเครื่องมือ : เทคโนโลยีหุ่นยนต์
4.      กลุ่มดิจิตัล : การศึกษาออนไลน์, e-commerce , Net banking, e-marketplace
5.      กลุ่มอุุตสาหกรรมสร้างสรรค์วัฒนธรรม : การท่องเที่ยว

เหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นภายในต้นปี 2018 ที่ผ่านมา
ท่าทีของ UN และ EU ต่อประเด็นโทษประหารชีวิตในประเทศไทย
          ฝ่าย UN ได้แสดงความเห็นว่าไทยไม่แจ้งกระบวนการต่อสาธารณะชนล่วงหน้า ซึ่งขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชนทางการเมืองด้านการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารของรัฐ และไทยได้ดำเนินการสวนทางกับการให้คำมั่นสัญญาที่จะดำเนินมาตรการต่างๆ เพื่อยกเลิกโทษประหารชีวิต ที่ให้ไว้เมื่อปี 2016
            ส่วน EU บอกว่าการประหารชีวิตนักโทษของไทยครั้งนี้ทำให้ไทยถดถอยด้านกระบวนการสิทธิมนุษยชนไปอีกหลายเท่า

IUU การทำประมงผิดกฎหมาย : ไม่รายงาน และ ไร้การควบคุม
            โดย EU ให้ใบเหลืองกับไทยตั้งแต่ 2015 ซึ่งมีผลกระทบต่อการส่งออกสินค้าประมงของไทย รัฐจึงใช้อำนาจรีบแก้ไขปัญหา
1.      ออกพ.ร.ก การประมง 2558 และแก้ไขปี 2560 ออกกฎระเบียบข้อบังคับตามมาอีก 300 ฉบับ พร้อมบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด
2.      ศาลอาญาได้ตั้งผู้พิพากษาคดีประมงแยกพิเศษเป็นการเฉพาะ
3.      จัดระบบการติดตามผลงาน จัดฐานข้อมูล เช่น จำนวนเรือ ท่าเทียบเรือ ให้ชัดเจน
            ด้านการติดตาม จัดตั้งศูนย์ควบคุมและเฝ้าระวังการทำประมง และจัดตั้งศูนย์ควบคุมการแจ้งเรือเข้าออก (PIPO)
            ด้านการตรวจสอบย้อนหลัง จากการจัดระเบียบท่าเทียบเรือ ต้องผ่านการตรวจสุขอนามัย และมีเอกสารกำกับซื้อขายทุกครั้ง
            ด้านแรงงาน มีการปรับปรุง พ.ร.ก. บริหารงานแรงงานต่างด้าว การวางระบบตรวจสอบแรงงานที่ศูนย์ PIPO เช่น แรงงานเข้าออกงานตรงเวลา จัดล่ามสัมภาณ์แรงงานเพื่อสืบสวนการเอารัดเอาเปรียบ พฤติกรรมการค้ามนุษย์ แรงงานเด็ก
ผลประโยชน์ที่ได้รับ
  • ไทยได้รับการยอมรับ + มุมมองแง่บวกจากนานาชาติ เพิ่มความเชื่อมั่นสินค้าประมงไทยในการส่งออกตลาดโลก

2017 องค์กรการบินพลเรือน (ICAO) ปลดธงแดงด้านการบินไทยแล้ว


    ผลประโยชน์ที่ได้รับ
    • เป็นที่ยอมรับมาตรฐานการบินระดับมาตรฐานสากล (ส่งผลให้นักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น)
    • สามารถเพิ่มเที่ยวบิน (สายการบินต่างประเทศเปิดเที่ยวบินมาไทยมากขึ้น)
    • ขยายจุดบินเพิ่มในต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาด ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ซึ่งห้ามไทยขยายจุดบินและเส้นทางบินเพิ่มหลังจากไทยติดธงแดง
    ล่าสุดปี 2018 เที่ยวบินใหม่ หัวหิน-มาเลเซีย สายการบินแอร์เอเชีย 4เที่ยวบิน/สัปดาห์
       

    จีนแก้ไขรัฐธรรมนูญพรรคใหม่
    ภาพ : รายการ มิติโลก

    • ยกเลิกการจำกัดวาระการดำรงตำแหน่งของประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดี (จากเดิมจำกัด 2 สมัย)
    • บรรจุแนวคิด สี จิ้นผิงเป็นแนวคิดสังคมนิยมแบบจีนสำหรับคนยุคใหม่
    • เน้นบทบาทของพรรคคอมมิวนิสต์
    • จัดตั้ง คณะกรรมาธิการกำกับดูแลแห่งชาติเพื่อแก้ปัญหาคอรัปชั่นของเจ้าหน้าที่รัฐ
    โดย คณะกรรมาธิการกำกับดูแลแห่งชาติ
    • มีฐานะเทียบเท่ารัฐบาล ศาล และอัยการ
    • แต่งตั้งโดยสภาประชาชนแห่งชาติ
    การแก้ไขรัฐธรรมนูญของจีนครั้งนี้ส่งผลให้ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ที่จะหมดวาระในปี 2023 สามารถดำรงตำแหน่งต่อไปได้ โดยการกำหนดให้ประธานาธิบดีดำรงตำแหน่งได้ไม่เกิน 10 ปี เป็นแนวคิดของผู้นำ เติ้ง เสี่ยวผิง เพื่อลดปัญหาแบบในสมัยของผู้นำ เหมา เจ๋อตง ซึ่งหากมองข้อดีของการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้ คือ การเพิ่มความต่อเนื่องของนโยบายสี จิ้นผิง แต่อีกมุมคือหากหมดวาระของสี จิ้นผิง คนต่อไปจะมีความสามารถเท่าสี จิ้นผิง หรือไม่

    สงครามการค้าเต็มรูปแบบระหว่างสหรัฐฯ และจีน
    สหรัฐประกาศมาตรการการขึ้นภาษีนำเข้าเหล็ก 25% และอะลูมิเนียม10% ฝั่งจีนตอบโต้สหรัฐโดยการเริ่มขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ 128 รายการ
    ต่อมาสหรัฐฯประกาศรายชื่อสินค้านำเข้าจากจีนที่จะถูกจัดเก็บภาษีกว่า 25% 1300 รายการ โดยส่วนใหญ่เป็นสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ เช่น หุ่นยนต์ที่ใช้ในอุตสาหกรรม และอุปกรณ์สื่อสาร

    การลงนามครั้งประวัติศาสตร์ของสองเกาหลี
    เกาหลีเหนือ และเกาหลีใต้ได้ลงนามร่วม ปฏิญญาปันมุนจอมซึ่งมีสาระสำคัญ ดังนี้

    ภาพ : รายการมิติโลก

    • เปลี่ยน เขตปลอดทหารให้เป็น เขตสันติภาพ
    • ตั้งสำนักงานผู้แทนในเมืองแกซอง
    • เตรียมจัดงานรวมญาติสองเกาหลีตามชายแดนอีกครั้ง
    • เชื่อมต่อและพัฒนาถนนและเส้นทางรถไฟข้ามชายแดน
    • เข้าร่วมการแข่งขันกีฬาร่วมกันต่อไป เช่น เอเชียน เกมส์
                                                                                
    สหรัฐถอนตัวออกจากข้อตกลงนิวเคลียร์กับอิหร่าน
    พร้อมเดินหน้าใช้มาตรการคว่ำบาตรกับอิหร่านต่อไป
    โดยข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่านเป็นข้อตกลงระหว่างอิหร่านและประเทศมหาอำนาจอีก 5 ประเทศ (สหรัฐฯ จีน รัสเซีย เยอรมนี และฝรั่งเศส) เมื่อปี 2015 ว่าอิหร่านจะจำกัดโครงการนิวเคลียร์แลกกับการที่ประเทศอื่นๆจะยุติการคว่ำบาตรอิหร่าน แต่โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐไม่เห็นด้วย ขณะที่อิสราเอลก็กล่าวหาอิหร่านว่ายังคงการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์อย่างลับๆ
                อย่างไรก็ตาม ฝรั่งเศส อังกฤษ และเยอรมนี ยังคงรักษาข้อตกลงนิวเคลียร์นี้ต่อไป ด้านประธานาธิบดีฮัสซัน รูฮานี ของอิหร่าน กล่าวชัดว่ายังคง "เดินหน้าร่วมกับประชาคมโลกต่อไป"
    ความเป็นไปได้ต่อไปในอนาคต
    1.      ความขัดแย้งในตะวันออกกลางอาจเพิ่มมากขึ้น จากการแสดงจุดยืนของสหรัฐฯในการสนับสนุนซาอุดิอาราเบีย ซึ่งเป็นฝั่งตรงข้ามของอิหร่าน
    2.      อาจกระทบถึงสนธิสัญญาไม่แพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์ (NPT) ซึ่งเป็นพื้นฐานของข้อตกลงอาวุธนิวเคลียร์ของอิหร่าน
    รายละเอียดเพิ่มเติม https://www.bbc.com/thai/international-44039800

    การเลือกตั้งครั้งประวัติศาสตร์ของมาเลเซีย
    ครั้งแรกสำหรับมาเลเซียหลังจากได้รับเอกราชจากอังกฤษในปี 1957 โดยดร.มหาเธร์ โมฮัมหมัด สามารถชนะการเลือก ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีมาเลเซียอีกครั้ง
    สาเหตุการเปลี่ยนแปลงครั้งประวัติศาสตร์
    1.      พฤติกรรมการคอรัปชั่นของรัฐบาลนาย นาจิบ ราซัค พรรคแนวร่วมบีเอ็น กับการบริหารประเทศที่ไม่โปร่งใส ค่าครองชีพสูง การปิดกั้นเสรีภาพของสื่อ และการปิดกั้นการแสดงออกทางการเมืองของประชาชน ทำให้ประชาชนไม่พอใจและต้องการการเปลี่ยนแปลง
    2.      ประกอบกับรัฐบาลฝ่ายค้าน ได้หาเสียงนโยบายที่นำการเปลี่ยนแปลง คือ นโยบายกระจายรายได้ที่ไม่แบ่งแยกกีดกันทางเชื้อชาติ นโยบายช่วยเหลือชนชั้นแรงงานให้มีสถานะความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น นโยบายสร้างระบบเศรษฐกิจืั้เพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันเพื่อลดการผูกขาด และ นโยบายการเปิดเสรีทางการเมือง
    รายละเอียดเพิ่มเติม อ่านต่อได้ที่ ประจักษ์ ก้องกรีติ. การ ปฏิวัติผ่านคูหาเลือกตั้งที่มาเลเซีย(2018) จาก: https://www.the101.world/election-malaysia/

    โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ไม่ร่วมลงนามในแถลงการณ์ปิดการประชุมสุดยอดผู้นำประเทศเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมชั้นนำของโลก (G7)
    หลังจากการมีความเห็นขัดแย้งกับ จัสติน ทรูโด นายกรัฐมนตรีแคนาดา ระหว่างการเจรจาเรื่องมาตรการภาษี และการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าต่างๆ ทรัมป์ยังได้แสดงความคิดเห็นในทวิตเตอร์ว่า แคนาดาเอาเปรียบเกษตรกรสหรัฐฯด้วยการเก็บภาษีผลิตภัณฑ์นมจากสหรัฐฯ สูงกว่า 270% โดยสำนักข่าว CNN ระบุว่า การกล่าวของทรัมป์ เกิดขึ้นหลังจากนายกแคนาดาแถลงข่าวว่า ภาษีเหล็กและอลูมิเนียมของสหรัฐฯ เป็นมาตรการที่ไม่สมเหตุสมผล
    พร้อมยังกล่าวว่า ประธานาธิบดีฝรั่งเศส และ ผู้นำสหภาพยุโรป เอาเปรียบสหรัฐฯด้านการค้า และคัดค้านเห็นต่างกรณีการเรียกเก็บภาษีเหล็กและอะลูมิเนียมของสหรัฐฯ
    แน่นอนว่าการขัดแย้งของผู้นำ G7 ครั้งนี้ ทำให้มีการวิเคราะห์ว่าจะเกิดการตอบโต้ทางการค้าระหว่างประเทศโลกเสรีได้
    อ่านต่อรายละเอียดเพิ่มเติม https://www.voicetv.co.th/read/r1agVP5l7

    การประชุมสุดยอดครั้งประวัติศาสตร์ระหว่างประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัล ทรัมป์ และ ผู้นำสูงสุดเกาหลีเหนือ คิม จองอึน (Trump Kim Summit 2018)
    ในวันที่ 12 มิถุนายน 2018  ณ โรงแรมคาเพลลา เกาะเซนโตซา สาธารณรัฐสิงคโปร์ ได้มีการลงนามแถลงการณ์ร่วม ซึ่งมีสาระสำคัญ 4 ข้อ ได้แก่
    1.      สหรัฐฯ และเกาหลีเหนือจะสถาปนาความสัมพันธ์ครั้งใหม่
    2.      สหรัฐฯเกาหลีเหนือจะร่วมสร้างสันติภาพที่ยั่งยืนบนคาบสมุทรเกาหลี
    3.      เกาหลีเหนือจะปลดอาวุธนิวเคลียร์ (Denuclearization) และสหรัฐฯจะรับประกันความมั่นคงให้กับเกาหลีเหนือ ตามคำมั่นในประกาศปันมุนจอมระหว่างเกาหลีเหนือ และเกาหลีใต้ 27 เมษายน ที่ผ่านมา
    4.      สหรัฐฯและเกาหลีเหนือจะฟื้นฟูข้อตกลง POW/MIA : การร่วมค้นหาศพ เชลยนักโทษและทหารที่สูญหายระหว่างภารกิจเพื่อนำตัวส่งคืน
    -ประเด็นสิทธิมนุษยชนในเกาหลีเหนือ
    ไม่มีการพูดคุยระหว่างการหารือครั้งนี้ แต่ทรัมป์ได้กล่าวว่ามีการพูดคุยส่วนตัวแล้ว
    • สหรัฐจะยุติการซ้อมรบประจำปีร่วมกันกับกองทัพเกาหลีใต้ แต่ยังคงทหารไว้ ซึ่งสอดคล้องกับที่จีนเคยเสนอข้อแนะนำ “Freeze to freeze” โดยมีเนื้อหาว่าสหรัฐจะหยุดการซ้อมรบบนคาบสมุทรเกาหลีแลกกับการที่เกาหลีเหนือจะยกเลิกโครงการทดสอบนิวเคลียร์ทั้งหมด
    • Mike Pompeo รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐ กล่าวว่า สหรัฐยังคงการคว่ำบาตรเกาหลีเหนือ จนกว่ากระบวนการ Denuclearization จะสมบูรณ์

    ประธานาธิบดีโดนัล ทรัมป์ ลงนามคำสั่งบริหารพิเศษ เพื่อแก้ปัญหาการทำให้พ่อแม่ต้องแยกจากลูกๆ จากการบังคับใช้กฎหมายตามนโยบาย “zero tolerence”
    หลักจากการถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก ประธานาธิบดี โดนัล ทรัมป์ ได้ลงนามในคำสั่งบริหารพิเศษ อนุญาตให้พ่อแม่และลูกๆที่เข้าเมืองโดยผิดกฎหมายสามารถอยู่ด้วยกันได้ โดยการบังคับใช้กฎหมายตามนโยบาย “zero tolerence” เดิมเป็นการแยกคุมขังผู้อพยพผิดกฎหมาย ผู้ใหญ่ จากเด็กๆ ซึ่งจะถูกดูแลอยู่ในอีกสถานที่ อย่างไรก็ตามการบังคับใช้กฎหมายสำหรับการเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายยังคงเดินหน้าต่อไป
    ซาอุดิอาราเบียบังคับใช้กฏหมายอนุญาตให้ผู้หญิงสามารถขับรถได้
    เป็นครั้งแรกสำหรับประเทศซาอุดิอาราเบียในการอนุญาตให้ผู้หญิงขับรถได้ หลังจากที่เป็นประเทศเดียวในโลกที่ห้ามผู้หญิงขับรถ โดยก่อนหน้านี้ผู้หญิงซาอุดิอาราเบียต้องให้ผู้ชายขับรถให้แม้จะเป็นระยะทางใกล้ก็ตาม

    ขอขอบคุณแหล่งอ้างอิงเพิ่มเติมจาก

    1 ความคิดเห็น: